รีวิวย้ายสายงาน จากเด็กเคมีสู่ UXUI Designer

ย้ายสายงาน UXUI Designer
  1. Phase 1: ต่อสู้กับความคิด
  2. Phase 2 : หาสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข (Trial and Error)
  3. Phase 3 : กล้าที่จะลอง
  4. Phase 4 : สมัครงาน
  5. Phase 5 : ความพยายามไม่เคยทรยศใคร
  6. บทส่งท้าย

Phase 1: ต่อสู้กับความคิด

คำถามที่ว่า
เราควรจะทำอะไรต่อจากนี้ สำคัญพอๆกับ เราควรจะตัดอะไรออกจากชีวิตต่อจากนี้

นั่นคือสิ่งแฟนเราเลือกที่จะตั้งคำถามและบอกกับเราว่า
“เค้าไม่อยากเป็นแล้วนะ นักเคมี หรืองานด้านอื่นๆที่เกี่ยวกับเคมี”

โจทย์นี้ยากมากสำหรับเราและเค้า ณ ตอนนั้น เพราะถ้าเค้าจะเริ่มเดินในเส้นทางใหม่ นั่นคือเราต้อง support เค้าในด้านต่างๆ 100%

เราซึ่งยังติดอยู่กับความคิดเก่าๆที่ว่า เรียนเคมีมาตั้ง 4 ปี จะไม่เอาแล้วจริงๆหรอ ไม่เสียดายหรอ

บวกกับความกลัวที่กลัวว่าจะพาเค้าได้ไม่ถึงฝั่ง กลัวเค้าจะล้มเหลว เพราะถ้าล้มรอบนี้ทั้งเราและเค้า เจ็บหนักแน่ๆ แต่ท้ายที่สุด เราก็ยอม เพราะเค้าดูจะไม่ชอบจริงๆ

Phase 2 : หาสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข (Trial and Error)

ในเมื่อเค้าบอกว่าเค้าพอแล้วกับงานด้านเคมี งั้นต่อจากนี้เธออยากทำอะไรล่ะ?

นั่นคือโจทย์ที่เรายกให้เค้าไปคิดต่อ เค้าบอกว่า เค้าชอบการวาดรูปนะ อะงั้นเราเลยเอา Procreate ที่เคยซื้อไว้ ให้เค้าลองวาดรูปดู มันก็ดูสวยจริงแหละ
แต่… ยังไม่มีเอกลักษณ์มากพอ

งั้น…ถ้าทางนี้ไม่เวิร์คแล้วควรทำอะไร?

โชคดี! ที่ช่วงนั้นมีอาชีพนึงที่เป็นกระแสสำหรับคนย้ายสายงาน นั่นคือ UX UI Design บวกกับช่วงนั้นเราซื้อโปร Future skill 1 ปี เราเลยให้เค้าไปหา course ในนั้น แล้วลองเรียน ลองทำ workshop ดูปรากฎว่าเค้าดูจะชอบอาชีพนี้จริงๆ

เค้าเลยมาให้คำตอบเราว่า “อยากเป็น UX UI Design“

ในหัวเราตอนนั้นเช่นเดิม เค้าเป็นคนค่อนข้าง low tech ซึ่ง UX UI Design ที่เปิดรับ
require : Adobe photoshop, illustrator, Figma, ภาษาคอมพิวเตอร์ C, JavaScript, CSS

เอ่ออ จะเป็นไปได้ใช่ไหม 5555

Phase 3 : กล้าที่จะลอง

ไม่ได้ก็ต้องได้วะ เดินมาขนาดนี้แล้ว
เราเลยหารค่าคอร์ส สนับสนุนค่าคอร์สเรียนให้เค้าทั้ง Born to dev, UX UI Studio, Skooldio

รวมคอร์สที่เรียนมาทั้งหมด

ระยะเวลารวมกันตั้งแต่เริ่มหาสิ่งที่ชอบ ยันเรียนจบประมาณ 7-8 เดือน
ระหว่างทางก็ทำ Portfolio เก็บผลงานมาเรื่อยๆ (สำคัญมาก)

Phase 4 : สมัครงาน

เข้าสู่เดือนที่ 9-10
ด้วยความที่เค้าไม่มีประสบการณ์งานด้านนี้เลย สิ่งเดียวที่มีคือ portfolio ซึ่งหลายๆที่ส่วนใหญ่รับแค่ คนที่มีประสบการณ์อย่างน้อย 1 ปี เอาล่ะ (โจทย์ยากอีกแล้ว)

งั้นโอเค สมัครเป็นเด็กฝึกงานไหม เราก็บอกเค้าไป เพราะอย่างน้อยจะได้มีประสบการณ์ในการทำงานจริงๆด้วย ช่วงนั้นก็ Apply ไปทั้ง junior level และ intern

ท้ายที่สุด ก็มี 3 บอติดต่อกลับมา

  • บอแรกสัมภาษณ์แล้ว เรารู้สึกว่าJD ไม่ตรงกับงาน UXUI เท่าไหร่ เลยให้ปฏิเสธไป
  • บอที่สอง ให้ทำเทสโดยมีโจทย์มาให้ และให้ออกแบบ ปรับปรุงหน้าเว็บให้ User experience ดียิ่งขึ้น (ที่นี่ไม่ผ่าน)
  • บอที่สาม เรียกสัมภาษณ์แบบ เข้าบริษัท สัมภาษณ์ 2 รอบ รอบแรกกับหัวหน้างานโดยตรง รอบที่ 2 สัมภาษณ์กับเจ้าของ (คนญี่ปุ่น)

Phase 5 : ความพยายามไม่เคยทรยศใคร

ท้ายที่สุด เค้าก็ผ่านสัมภาษณ์บริษัทที่ 3 และรับเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำ(ไม่ใช่เด็กฝึกงาน) และเป็นงานที่เค้ายังทำอยู่จนถึงปัจจุบัน

เนื้อหางานที่เจอในแต่ละวัน

  • รับ require จากนาย ส่งต่อไปยัง dev design หน้าเว็บเพื่อให้ทาง dev เข้าใจตรงกัน
  • Design flow ของเว็บไซต์
  • ทำ traffic report
  • งาน ad hoc อื่นๆ
    ซึ่งงานที่สายนี้จะได้เจอในแต่ละบอ ก็จะแตกต่างกันไปนะ แต่ที่แฟนเราเจอก็จะประมาณนี้เลย

ซึ่งงานที่สายนี้จะได้เจอในแต่ละบริษัท ก็จะแตกต่างกันไปนะ แต่ที่แฟนเราเจอก็จะประมาณนี้เลย

Recap Skills & Tools

บทส่งท้าย

ที่เราพยายามเล่ามาตั้งแต่ต้น ยันจบเพื่ออะไร?

เราแค่อยากเป็นกำลังใจ ให้กับคนที่กำลังคิดที่จะเริ่มต้นใหม่ในเส้นทางที่แตกต่างออกไป เริ่มต้นมันอาจจะยากหน่อย มีทั้งความกลัว ความไม่กล้า และเสียงของผู้คนมากมายที่เข้ามาว่า “ จะทำได้หรอวะ”

แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเรา ฟังเสียงตัวเองเยอะๆ แล้ววิ่งตามจังหวะตัวเอง เอาเท่าที่ไหว คุณจะล้มเหลวในสายตาใครก็ช่าง แต่อย่าล้มเหลวในสายตาตัวเองก็พอ เพราะมันลุกยาก ประโยคเด็ดจากหนังสือ #วิชาคนตัวเล็ก

ถ้าวันนี้คุณยังมีความกลัว หรือไม่กล้าอยู่ วิธีแก้มีทางเดียวคือ เริ่มทำมันซะ ก้าวออกจาก comfort zone แล้วคุณจะกลับมาขอบคุณวันแรกที่คุณกล้าที่จะก้าวเดิน

ท้ายที่สุดเราอยากจะบอกทุกคนว่า “You are what you do“ ปัญหาคือหนทางที่จะทำให้คุณได้ในสิ่งที่ต้องการ

ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบน้าา 🙇‍♀️
คิดเห็นยังไง comment พูดคุยกันได้น้า ><


ใส่ความเห็น