เคล็ดลับการอ่านของนักปรัชญา ที่จะเปลี่ยนวิธีการอ่านของคุณตลอดไป

How to Read Better

หลายคนอยากจะอ่านหนังสือเล่มยากๆ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมคลาสสิก ปรัชญา หรือสารคดีหนักๆ แต่กลับพบว่าการลงมืออ่านจริงๆ นั้นเป็นเรื่องยาก

Jered เชื่อว่า หัวใจสำคัญของการอ่านไม่ใช่ปริมาณ แต่เป็นคุณภาพ

การอ่านหนังสือเพียงเล่มเดียวอย่างลึกซึ้งตลอดทั้งปี น่าประทับใจกว่าการอ่านหนังสือ 100 เล่ม แต่ไม่ได้อะไรเลย การเป็นนักอ่านที่ดีขึ้นนั้น เป็นเส้นทางที่ต้องใช้เวลา และการฝึกฝน แต่ก็มีเคล็ดลับที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้

เคล็ดลับการอ่าน ที่สามารถดึงคุณค่าของหนังสือได้ดีขึ้น

[1.] สร้าง “กล้ามเนื้อการอ่าน” เริ่มต้นช้าๆ แต่สม่ำเสมอ

Photo by Pixabay on Pexels.com

การอ่านก็ไม่ต่างจากการออกกำลังกาย หลายคนอยากมีสุขภาพดีแต่ไม่ชอบไปยิมก็เหมือนกับ หลายคนก็อยากอ่านหนังสือดีๆ ให้เข้าใจ แต่รู้สึกว่าการหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เป็นเรื่องน่าเบื่อ และต้องใช้ความพยายาม

หากเราไม่ได้อ่านหนังสือมาสักพักแล้วจู่ๆ ไปหยิบงานเขียนยากๆ อย่างของโฮเมอร์ หรืออริสโตเติล ก็คงคาดหวังให้เข้าใจได้ทันทีไม่ได้

เหมือนกับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายนานแล้วกลับไปยกน้ำหนัก ก็ย่อมมีอาการปวดเมื่อยเป็นธรรมดา “กล้ามเนื้อการอ่าน” ของเราต้องได้รับการฝึกฝน และพัฒนา

วิธีการคือ ค่อยๆ เริ่มทีละน้อย ไม่จำเป็นต้องหักโหมอ่านรวดเดียวทั้งวันในวันหยุด โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้อ่านมานานแล้ว

ลองจัดสรรเวลาสัก 30 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แล้วตั้งใจอ่านอย่างเต็มที่ เมื่อทำไปเรื่อยๆ คุณจะพบว่าตัวเองสามารถอ่านได้นานขึ้น มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น และเข้าใจสิ่งที่อ่านได้ดีขึ้น

[2.] อ่านหนังสือซ้ำ 2 รอบ เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้ง

เคล็ดลับสำคัญอย่างหนึ่งคือ การอ่านหนังสือเล่มเดิมมากกว่าหนึ่งครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังสือประเภทสารคดี (non-fiction)

Jered จบปริญญาเอกด้านปรัชญา เขายืนยันว่า ไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือ หรือบทความชิ้นไหนได้อย่างเชี่ยวชาญ จากการอ่านเพียงครั้งเดียว

วิธีการอ่าน:

รอบแรก: อ่านแบบเร็ว (Fast and dirty method) ในการอ่านรอบแรก ให้คุณอ่านค่อนข้างเร็ว โดยมีเป้าหมาย เพื่อจับประเด็นหลัก หรือแก่นของเรื่องราวให้ได้ว่าผู้เขียนต้องการจะสื่ออะไร หรือกำลังโต้แย้งเพื่อสนับสนุนแนวคิดใด

รอบที่สอง: อ่านแบบช้า และละเอียด เมื่อคุณเข้าใจภาพรวมจากรอบแรกแล้ว การกลับไปอ่านอีกครั้งจะช่วยให้คุณเห็นว่าส่วนประกอบย่อยๆ ที่ผู้เขียนปูทางไว้ตั้งแต่ต้นนั้นเชื่อมโยง และสนับสนุนประเด็นหลักได้อย่างไร

การอ่านรอบที่สองนี้ ไม่จำเป็นต้องทำทันที อาจเว้นระยะห่างสักพักก็ได้ การเข้าใจภาพรวมก่อนจะช่วยให้เราเข้าใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีขึ้น

และในทางกลับกัน รายละเอียดเหล่านั้นก็ช่วยเสริมความเข้าใจในภาพรวมของเราเช่นกัน

[3.] จดบันทึกอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่จดทุกอย่างที่อ่าน

หลายคนมักจะจดบันทึกทุกประเด็น ที่คิดว่าสำคัญขณะอ่าน ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจได้บันทึกจำนวนมหาศาลที่กระจัดกระจาย และไม่เป็นประโยชน์

วิธีที่มีประสิทธิภาพกว่าคือ:

• ทำเครื่องหมายเล็กน้อยระหว่างอ่าน: ขณะอ่านรอบแรก ให้ใช้ดินสอทำเครื่องหมายเบาๆ เช่น การขีดเส้นใต้ หรือทำเครื่องหมายเช็กถูกข้างๆ ✅ ข้อความที่น่าสนใจ และอาจเขียนโน้ต✍️สั้นๆ ไม่เกินหนึ่งประโยคไว้ที่ขอบกระดาษ

สรุปสั้นๆ ท้ายบท: หลังจากอ่านจบแต่ละบท ให้ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีเขียนสรุปใจความสำคัญของบทนั้นๆ สักหนึ่งย่อหน้า

เปลี่ยนเป็นโน้ตจริงจังตอนอ่านรอบสอง: เมื่อคุณกลับมาอ่านรอบที่สอง ให้ทบทวนข้อความที่คุณเคยทำเครื่องหมายไว้

แล้วค่อยตัดสินใจว่าประเด็นไหนสำคัญ พอที่จะนำมาจดเป็นโน้ตอย่างละเอียด พร้อมเพิ่มความคิดเห็นของคุณเข้าไป วิธีนี้จะทำให้โน้ตของคุณมีคุณภาพและเป็นระเบียบมากขึ้น

[3.] เลือกหนังสืออย่างมีเป้าหมาย: เพราะสิ่งที่คุณอ่านจะหล่อหลอมตัวคุณ

Photo by Enzo Muu00f1oz on Pexels.com

การมีเป้าหมายในการเลือกหนังสือ จะช่วยให้เส้นทางการอ่านของคุณมีความหมาย และต่อเนื่อง แทนที่จะหยิบเล่มที่ “ดูน่าสนใจ” ไปเรื่อยๆ ลองตั้งเป้าหมายในการเลือกหนังสือดู เช่น:

  • เลือกตามหัวข้อที่สนใจ: เช่น หากสนใจเรื่องการเมือง ก็วางแผนอ่านงานของนักคิดคนสำคัญในหัวข้อนั้นๆ เพื่อให้เข้าใจปัญหาอย่างรอบด้าน
  • เลือกตามนักเขียนที่ชื่นชอบ: ลองตั้งเป้าอ่านงานเขียนของนักเขียนคนโปรดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในปีนั้นๆ วิธีนี้จะทำให้คุณได้เห็นทั้งผลงานชิ้นเอก และผลงานอื่นๆ ของเขา ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจตัวตนและพัฒนาการของนักเขียนคนนั้นได้อย่างรอบด้าน
  • เลือกตามประเภทย่อย (Sub-genre) ที่เฉพาะเจาะจง: เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจพัฒนาการของแนววรรณกรรมนั้นๆ

💡การวางแผนการอ่าน คือ การตัดสินใจว่าคุณอยากจะเป็นคนแบบไหน
เพราะสิ่งที่คุณอ่าน จะหล่อหลอมตัวตนและวิธีคิดของคุณ

[4.]  ทำให้การอ่านเป็นนิสัย

เคล็ดลับสุดท้าย ที่นำไปใช้ได้จริงทันทีคือ พกหนังสือติดตัวไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่ม, Kindle, Meb, Pinto, Naiin Reader หรือ Audiobook

คุณจะพบว่ามีเวลาว่างเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน เช่น ช่วงพักกลางวัน 15 นาที หรือช่วงเวลาก่อนนอนไม่กี่นาที ซึ่งสามารถใช้ไปกับการอ่านหนังสือดีๆ แทนการเล่นโทรศัพท์ได้

การทำเช่นนี้จะช่วยเปลี่ยนการอ่านให้กลายเป็นนิสัยติดตัว และเมื่อมันกลายเป็นนิสัยแล้ว คุณก็จะอ่านบ่อยขึ้นและกลายเป็นนักอ่านที่ดีขึ้นในที่สุด

บทสรุป

การเป็นนักอ่านที่ดีขึ้นไม่ใช่เรื่องของความเร็ว แต่เป็นเรื่องของคุณภาพและความตั้งใจ โดยเริ่มจากการฝึกฝนเหมือนออกกำลังกาย, อ่านซ้ำเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้ง, จดบันทึกอย่างมีกลยุทธ์, เลือกหนังสืออย่างมีเป้าหมาย และพกหนังสือติดตัวเพื่อสร้างนิสัย

เพียงเท่านี้ คุณก็จะสามารถดึงศักยภาพสูงสุดจากการอ่าน และทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาตัวตนของคุณได้อย่างแท้จริง

ขอขอบคุณ วิดีโอพอดแคส ดีๆจาก : คุณ Jered Handerson
สามารถรับชมคลิปแบบเต็มๆได้ที่นี่ : https://www.youtube.com/watch?v=A5ucvNAENjU&t=76s


ใส่ความเห็น